วันอังคารที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2551


กี่กัวัริต์


คริสต์มาส
คือ การฉลองการบังเกิดของพระเยซูที่เราเฉลิมฉลองกันในวันที่ 25 ธันวาคม
คำว่า "คริสต์มาส" เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณ
ว่า Christes Maesse ที่แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า"
คำว่า "Christes Maesse" พบครั้งแรกในเอกสารโบราณเป็นภาษาอังกฤษในปี 1038
และคำนี้ก็ได้แปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas ในภาษาไทย "คริสต์มาส" ก็มีความหมาย
เช่นกัน คำว่า "มาส" แปลว่า "เดือน"
เทศกาลคริสต์มาสจึง เป็นเดือนที่เราระลึกถึงพระเยซูคริสต์เจ้าเป็นพิเศษ
คำว่า"มาส" คือ"ดวงจันทร์" ตีความหมายในภาษาไทยคือพระเยซูทรงเป็นความสว่างของโลก
เหมือนดวงจันทร์ เป็นความสว่างในตอนกลางคืน Merry X'mas คำว่า Merry
ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า"สันติสุขและความสงบทางใจ" คำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่น
ขอให้เขาได้รับสันติสุขและความสงบทางใจ ถือเอาประเพณีของชนในท้องถิ่นนั้น
มาประยุกต์เข้ากับศาสนา โดยจัดให้มีการฉลองเพื่อระลึก ถึงการบังเกิดของพระเยซู
ที่เขายกย่องเหมือนกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสากลโลก ผู้ทรงเกียรติเลอเลิศประเพณี นี้
ได้เริ่มมาจากรุงโรมในศตวรรษ ที่ 4 และ ค่อยๆ เผยแพร่ไปทุกทวีป

ประวัติ....ซานตาคลอส


วันคริสต์มาสนี้เริ่มตั้งแต่คริสตวรรษที่4 มีนักบุญคนหนึ่งชื่อ "นิโคลาส "
หรือ "เซนต์นิโคลาส" ท่านเป็นนักบุญ ตั้งแต่อายุยังน้อย เมื่อเป็นเด็กหนุ่ม
ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นสังฆราชแห่งแคว้นไมรา ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศตุรกี
ท่านได้กลายเป็นนักบุญอุปถัมถ์ประจำชีวิตเด็ก เด็กในประเทศอังกฤษ จะเรียกคุณตาใจ
ดีว่า "คุณพ่อแห่งวันคริสต์มาส" ( Father Christmas )
เด็กเยอรมันนีเรียกว่า "ญาติแห่งพระคริสต์ " ( Christ Child )
เด็กชาวดัชท์เรียกว่า "ซาน นิโคลาส" หรือ "Sankt Klous"
ในที่สุดกลายเป็น "ซานตาคลอส" ติดปากเด็กๆทั่วโลก
ในปี ค.ศ. 1866 นักวาดการ์ตูนชาวอเมริกัน ชื่อ โธมัส แนส เป็นคนแรกที่วาดภาพของ
ซานตาคลอสขึ้นมาลักษณะเหมือนที่เรา เห็นทุกวันนี้ ลงพิมพ์ในหนังสือ
"Horpers Weekly"เป็นครั้งแรกใบหน้าของซานตาคลอส
เป็นสีแดงอมชมพูเหมือนกลีบกุหลาบ จมูกแดงเหมือนผลเชอรี่สุก
นัยน์ตาสุกใสเป็นประกาย หนวดเคราสีขาวท่าทางใจดี ถึงแม้ซานตาคลอสจะเป็นเพียง
ตำนานที่เกิดขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสก็ตาม แต่ก็เป็นสัญลักษณ์
ที่รวมเอาวิญญาณและความหมายของคริสต์มาสไว้อย่างมากมาย คือความปิติยินดีชื่นชม
ความโอบอ้อมอารี ความรัก และความเป็นกันเอง

..ต้นคริสต์มาส.. ในสมัยโบราณหมายถึงต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบผลไม้มากิน
และทำบาปไม่เชื่อฟังพระเจ้า ตั้งแต่ศตวรรษที่11 ชาวคริสต์แสดงละครที่หน้าวัด
ถึงความหมายของคริสต์มาสและเอาตันไม้ต้นหนึ่งไว้ตรงกลางเพื่อประดับฉากแสดงถึง
บาปกำเนิดของอาดัมและเอวาต้นไม้ที่ใช้เป็นต้นสน เนื่องจากเป็นต้นไม้ที่หาง่าย
ที่สุดในประเทศเหล่านั้น การแสดงละครคริสต์มาสแบบนี้ มีมาเป็นเวลาช้านานหลายร้อยปี
จนถึงศตวรรษที่15 พระสังฆราชหลายแห่งได้ห้ามแสดง
เนื่องจากการแสดงนั้นกลายเป็นการเล่น เหมือน ลิเก ล้อชาวบ้าน ผู้ปกครองบ้านเมือง
และศาสนาซึ่งไม่ตรงกับบรรยากาศของการฉลอง ชาวบ้านรู้สึกเสียดายที่
ไม่มีโอกาสดูละครสนุกๆแบบนั้นอีก จึงไปสนุกกันที่บ้านของ ตน
โดยเอาต้นไม้มาไว้ที่บ้าน เพราะต้นไม้เป็นจุดเด่นในลานวัด ที่เขาเคยร่วมสนุกกัน
จากนั้นก็เริ่มมีการแขวนลูกแอปเปิ้ลและแขวนแผ่นขนมปังเพื่อระลึกถึงศีลมหาสนิท ซึ่ง
ก็มีวิวัฒนาการ เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จนในที่สุด ก็กลายเป็นขนมและของขวัญ
อย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้
เราจะเห็นได้ว่าวันคริสต์มาสเป็นวันสำคัญวันหนึ่ง เพื่อเป็นการระลึกถึงวันที่พระบุตรของพระเจ้ามาบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์เป็นพระเจ้า ที่จะอยู่กับเราตลอดไปเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ เป็นพี่หัวปีที่จะนำมนุษย์ทั้งมวลไปสู่พระบิดาเจ้า พระองค์เป็นความสำเร็จบริบูรณ์ ตามคำ สัญญาของพระเจ้าที่จะดูแลป้องกันรักษาเราผู้เป็นประชากรของพระองค์


เพลง : Jingle Bell


Dashing through the snow
On a one-horse open sleigh,
Over the fields we go,
Laughing all the way;
Bells on bob-tail ring,
making spirits bright,
What fun it is to ride and sing
A sleighing song tonight
Jingle bells, jingle bells,
jingle all the way!
O what fun it is to ride
In a one-horse open sleigh
A day or two ago,
I thought I'd take a ride,
And soon Miss Fanny Bright
Was seated by my side;
The horse was lean and lank;
Misfortune seemed his lot;
He got into a drifted bank,
And we, we got upsot.
Jingle Bells, Jingle Bells,
Jingle all the way!
What fun it is to ride
In a one-horse open sleigh.
A day or two ago,
the story I must tell
I went out on the snow
And on my back I fell;
A gent was riding by
In a one-horse open sleigh,
He laughed as there
I sprawling lie,
But quickly drove away.
Jingle Bells, Jingle Bells,
Jingle all the way!
What fun it is to ride
In a one-horse open sleigh.
Now the ground is white
Go it while you're young,
Take the girls tonight
And sing this sleighing song;
Just get a bob-tailed bay
two-forty as his speed
Hitch him to an open sleigh
And crack! you'll take the lead.
Jingle Bells, Jingle Bells,
Jingle all the way!
What fun it is to ride
In a one-horse open sleigh.

วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551

จุฬาวิชาการ

ไปงานจุฬาวิชาการ

เมื่อวันที่ 27 เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาซึ่งก็นานมากๆๆจากวันที่เราupblog 55+ก็ไม่รู้จะลงอะไรในblogดีก็เลยเอาเรื่องที่ไปเที่ยวจุฬาวิชาการมาเล่าให้ฟัง
ก็ที่ไปจุฬามาก็พูดจิงๆก็ไม่มีอะไรมากมายเลย คณะที่เราไปก็ไม่กี่คณะหรอกใช้เวลาไปกับการเดินหลงทางเป็นส่วนใหญ่กว่าจะหาคณะที่ชอบเจอก็นานพอดูไม่ใช่ว่ไม่ได้ถามพี่นิสิตเเถวนั้นหรอกนะ คือเราฟังไม่รู้เรื่องเอง เอาเข้าเรื่องก็คณะที่ไปก็มีคณะแรกเลย
-คณะรัฐศาสตร์IR (International relation) ได้ไปถ่ายรูปด้วยแล้วก็ฟังเพลงอาเซี่ยนที่คนไทยแต่งชนะเลิศได้ที่ 1รึป่าวไม่แน่ใจ
-คณะวิทยาศาสตร์สาขาธรณีวิทยา(ถูกบังคับให้ดู)ก็เกี่ยวกับปิโตรเลียมด้วยเพราะจุดประสงค์หลักของเราก็กะจะไปดูวิศวะปิโตรเหมือนกัน จะว่าไปก็ได้ความรู้มาไม่น้อยเลยล่ะ
-คณะวิทยาศาสตร์สาขาที่เกี่ยวกับอาหารที่เค้าเรียกกันว่าFood science อ่ะนะได้กินไอติมด้วยแล้วก็ได้รู้วิธีการถนอมอาหารแบบที่เราไม่เคยรู้มาก่อน
-แล้วที่สำคัญชอบมากๆ-
-คณะวิศวะ ตอนแรกไปดูวิศวะเหมืองแร่ดูน่าสนใจดีเหมือนกันแต่ก็ต้องยากอยู่แล้วขึ้นชื่อว่าวิศวะ แล้วก็ไปดูวิศวะปิโตร ดีอ่ะอยากเรียนแต่สมองไม่ถึง หุหุผู้หญิงไม่ค่อยมีเลย แล้วก็มีคณะอื่นอีกแต่ไม่รู้ชื่อคณะอ่ะ
แค่นี้แหละที่ไปมา
ปล. เสียดายไม่ได้ไปแวะสยามกะจะไปโบนันซ่าอ่าเซงเวลาไม่พอ

จบข่าว

วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

มาแปลชื่อเป็นภาษาต่างๆกัน

>w<ลองทำกันดูนะ...ได้ยังงัยก็บอกกันหน่อยนะ...แปลกดี >w<

เอา linkไป เลย จ้า^^

ภาษาเอลฟ์
http://www.chriswetherell.com/elf/

ภาษาฮอบบิทส์
http://www.chriswetherell.com/hobbit/

ภาษาแฮร์รี่ พอตเตอร์
http://rumandmonkey.com/widgets/toys/namegen/406/

ภาษาแวมไพร์
http://www.emmadavies.net/vampire/

ภาษาอังกฤษ British โดยแท้
http://rumandmonkey.com/widgets/toys/namegen/10/

ภาษามาเฟีย
http://rumandmonkey.com/widgets/toys/namegen/1311/

ภาษามังกร
http://rumandmonkey.com/widgets/toys/namegen/3267/


....................................ไฮโซมากกกมาย..........................................

.........................................................................................................
...ตำนานแวมไพร์ ราชันย์ผีดูดเลือด...



ผีดูดเลือด หรือ แวมไพร์ (Vampire) เป็นมนุษย์อีกรูปแบบหนึ่งที่มีพลังปิศาจ แม้ว่า ผีดูดเลือด จะอยู่ในร่างของมนุษย์ มันก็ไม่มีความเป็นมนุษย์อยู่ มันคือคนที่ตายไปแล้วและลุกขึ้นมาจากโลงมีชีวิตใหม่โดยดูดเลือดเป็นอาหาร
สังคมแทบทุกสังคมรู้จัก ผีดูดเลือด ผีดูดเลือดปรากฎครั้งแรกในอาณาจักร บาบิโลเนีย ในหีบศพที่ถูกปิดมานานกว่า 4,000 ปี มีตำนานเกี่ยวกับผีดุดเลือดมากมายใน อินเดีย จีน กรีก โรมัน มาเลเซีย และไทย ก็มีเรื่องราวเกี่ยวกับผีดูดเลือดเช่นกัน
ในประเทศมาเลเซีย เชื่อกันว่า ผู้หญิงที่เสียชีวิต ในขณะหรือหลังคลอดลูก จะกลายเป็นผีดูดเลือด และลูกที่ตายพร้อมกันก็จะเป็นผีดูดเลือดด้วย ส่วนของไทยก็เห็นจะเป็น กระสือ หรือปอบ ที่เรารู้จักกัน ประเพณีโบราณมักมีวิธีป้องกันผีพวกนี้และบางประพณีก็สืบทอดมาถึงปัจจุบัน
ในแถบตะวันตก ผีดูดเลือด เป็นที่รู้จักกันในนามแวมไพร์ ปรากฏในอังกฤษครั้งแรก ในปี พ.ศ.2275 ตามบันทึกว่าเป็น แวมไพร์ ชาวเซอร์เบีย (Serbian : แคว้นในยูโกสลาเวีย) ที่กลับมาจากหน้าที่ทางทหารใน กรีก ด้วยท่าทีที่แปลกไป เขาผู้นั้น คือ อาร์โนลด์ เปาเล (Arnold Paole) เปาเล ยอมรับกับภรรยาในเวลาต่อมาว่า เขาโดน แวมไพร์ ดูดเลือดในขณะเดินทางและได้กลายเป็น แวมไพร์ ไปด้วย เปาเล ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในเวลาต่อมา แต่เพื่อนบ้านยังคงเห็นเขาวนเวียนอยู่ ศพของเขาถูกขุดขึ้นมาและพบว่า มีรอยเลือดอยู่ที่ปาก การที่จะพิสูจน์ว่า เป็น แวมไพร์ หรือไม่นั้น ทำได้โดยตอกหมุดไม้ลงไปที่หัวใจ ศพของ เปาเล ถูกพิสูจน์และด้วยความประหลาดใจ
ในขณะที่ตอกหมุดนั้นมีเลือดทะลักออกมาและมีเสียงกรีดร้องตามมาด้วย ศพของ เปาเล ถูกเผาตามขั้นตอนของพิธีกรรมทางความเชื่อ หลายปีต่อมา ก็ยังมีกรณีของ แวมไพร์ ตัวอื่นอยู่ ซึ่งเชื่อว่า เป็นเหยื่อของ เปาเล จึงสรุปได้ว่า แวมไพร์ ถ่ายทอดได้โดยการถูกกัด
บันทึกในปี พ.ศ.2306 ของนักเขียนชาวฝรั่งเศส ชื่อ ฌอง จาก รูสโซ (Jean-Jacques Rousseau) กล่าวว่า ในปีนั้นมีพยานหลายคนทั้งที่เป็นแพทย์ นักบวชและพนักงานปกครอง ได้พบเห็น แวมไพร์ เรื่องราวได้เริ่มถูกนำไปแต่งเป็นวรรณกรรม จนกระทั่งในต้นพุทธศตวรรษที่ 24 แวมไพร์ ก็เป็นที่ยอมรับว่ามีอยู่จริง มีทั้งสองเพศ แต่โดยมากจะเป็นเพศชาย มีเขี้ยวยาว ผิวซีดเซียว และมีดวงตาที่แข็งกร้าว มักออกหาเหยื่อในเวลากลางคืน และเหยื่อก็จะเป็นเพศตรงข้าม ป้องกันได้โดยใช้กระเทียม การเป็นแวมไพร์ นั้นเป็นไปโดยไม่ได้สมัครใจและก็ไม่ค่อยจะเกี่ยวข้องกับปิศาจหรือเวทมนตร์ แม่มดเท่าใดนัก แวมไพร์ มักเป็นคนบาปที่ดำเนินชีวิตอย่างชั่วร้าย ผู้บริสุทธิ์ก็เป็น แวมไพร์ ได้โดยตกเป็นเหยื่อของพวกมัน
บุคคลที่มีความแตกต่างไปจากคนอื่นและมีการตายอย่างประหลาดนั้นมักถูกเชื่อว่า จะเป็นแวมไพร์ อย่าง แน่นอน บุคคลใดที่มีลักษณะคล้าย แวมไพร์ จะถูกกีดกันจากสังคมทันที การกำจัด แวมไพร์ นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะต้องทำเฉพาะเวลากลางวัน ตอนที่มันไม่มีอำนาจเท่านั้น เชื่อว่าหลุมศพใดมีโพรงอยู่แสดงว่าศพในหลุมนั้นเป็น แวมไพร์ โดยความเชื่อของ ชาวโรมัน ให้เทน้ำเดือดลงไปในโพรงเพื่อกำจัด แวมไพร์ หรือกำจัดได้โดยวิธีเดียวกับที่ทำกับ แวมไพร์ เปาเล
ปลายพุทะศตวรรษที่ 19 นักเขียนชาว ไอริช เมื่อ บราม สโตกเกอร์ (Bram Stoker) ได้แต่งนิยายเรื่อง แดรกคูลา (Dracula) ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของคำอีกคำหนึ่งที่แปลว่า ผีดูดเลือด แดรกคูลา เป็นลูกชายของ แดรกคูล (Dracul) กษัตริย์โรมันที่โหดร้าย ทารุณ แดรกคูล เป็นสมญานามที่แปลว่า ปิศาจ ซึ่งกษัตริย์ได้สมญานามมาจากการปกครองที่โหดร้าย กระหายเลือด และแดรกคูลา ก็แปลว่า ลูกชายของปิศาจ
ในนิยาย แดรกคูลา เกิดในทรานซิลวาเนีย (Transylvania) และมีความโหดร้ายเช่นเดียวกับพระบิดา ทรงสร้างศัตรูมากมาย มีการตายอย่างลึกลับ ไม่มีใครพบเห็นศพและไม่ได้ถูกฝังตามพิธี จนปัจจุบันเรื่องราวของ แวมไพร์ ก็ยังคงน่าหลงใหลและน่าหวาดกลัวมีผู้คนที่เชื่อว่า แวมไพร์ มีจริง ยิ่งกว่านั้น ยังมีศูนย์วิจัย แวมไพร์ ใน นิวยอร์ก ที่ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับ แวมไพร์ ใน ยุโรป และ อเมริกา อีกด้วย

i wanna be a vampire.


i love vampire.

วันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

รู้ไว้ใช่ว่า

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระนามเต็มว่า "พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ เอกอรรคมหาบุรุษบรมนราธิราช พินิตประชานาถมหาสมมตวงศ์ อดิศัยพงศ์วิมลรัตน์วรขัตติราชนิกโรดม จาตุรันตบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ อุภโตสุชาตสังสุทธเคราะหณีจักรีบรมนาถ จุฬาลงกรณราชวรางกูร บรมมกุฏนเรนทร์สูรสันตติวงศวิสิฐ สุสาธิตบุรพาธิการ อดุลยกฤษฎาภินิหาร อดิเรกบุญฤทธิ ธัญลักษณวิจิตรโสภาคยสรรพางค์ มหาชโนตมางคประณตบาทบงกชยุคล ประสิทธิสรรพศุภผลอุดม บรมสุขุมาลย์ทิพยเทพาวตาร ไพศาลเกียรติคุณ อดุลยวิเศษสรรพเทเวศรานุรักษ์ บุริมศักดิสมญาเทพวาราวดี ศรีมหาบุรุษสุทธสมบัติ เสนางคนิกรรัตนอัศวโกศล ประพนธปรีชา มัทวสมาจาร บริบูรณคุณสารสยามาทินคร วรุตเมกราชดิลก มหาปริวารนายกอนันต์มหันตวรฤทธิเดช สรรพวิเศษศิรินธร บรมชนกาดิศรสมมต ประสิทธิวรยศมโหดมบรมราชสมบัติ นพปฎลเศวตฉัตราดิฉัตร สิริรัตโนปลักษณมหาบรมราชาภิเษฏาภิสิต สรรพทศทิศวิชิตไชย สกลมไหศวริยมหาสวามินทร์ มเหศวรมหินทรมหารามาธิราชวโรดม บรมนาถชาติอาชาวศรัยพุทธาธิไตรรัตนสรณารักษ์ อดุลยศักดิ์ อรรคนเรศราธิบดี เมตตากรุณา สีตลหฤทัย อโนมัยบุญการสกลไพศาล มหารัษฎาธิบดินทร์ ปรเมนทรธรรมิกมหาราชาธิราช บรมนาถบพิตร พระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว"
ต่อมาใน พ.ศ. 2459 ได้ทรงเปลี่ยนคำนำหน้าพระปรมาภิไธยของพระองค์เองใหม่ว่า "พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธ อรรคมหาบุรุษบรมนราธิราช พินิตประชานาถมหาสมมตวงศ์ ฯลฯ พระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว"[

วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2551

เรื่องย่ออยู่กับก๋ง

เรื่องย่อบ้านสวน พ.ศ.2548 หยก ชายชราวัย 60 ปี ประสบความสำเร็จในอาชีพนักเขียนของตน มีผลงานตีพิมพ์มากมาย ทุกวันนี้เขาอาศัยอยู่กับครอบครัวใหญ่ มีลูกหลานมากมาย เมื่อมองภาพครอบครัวที่อบอุ่นอย่างทุกวันนี้ หยกมักจะย้อนคิดถึงวัยเด็กที่มีเพียงเขาและ ก๋ง ทุกครั้งก๋ง ชายชราชาวจีนที่อพยพเข้ามาประเทศไทย ตั้งแต่สมัยก่อนสงครามโลก ก๋งเป็นช่างฝีมือ ประกอบอาชีพหลักคืองานซ่อมเซรามิค อันเป็นวิชาที่ติดตัวมาจากเมืองจีน ความคิดอ่านที่กว้างไกลและความเมตตาของก๋ง ทำให้ก๋งได้รับการนับหน้าถือตาจากผู้คนมากมายในชุมชนห้องแถวที่อาศัยอยู่ ซึ่งผลบุญนี้ได้ตกมาถึง หยก เด็กกำพร้าที่ก๋งได้อุปการะไว้ หยกเติบโตอย่างอบอุ่นภายใต้การเลี้ยงดูของก๋ง แต่เขาก็ยังรู้สึกถึงความไม่สมบูรณ์ของตัวเอง หยกมักสงสัยว่าทำไมตนจึงไม่มีพ่อแม่เหมือนคนอื่น จนวันหนึ่งหยกได้พบเห็นเด็กกำพร้าที่ถูกเอามาวางทิ้งไว้ หยกจึงได้เข้าใจว่าโลกนี้ยังมีเด็กโชคร้ายอีกหลายคนนัก และเพื่อนเขาบางคนเช่น ป้อม ลูกชายของ คุณนายทองห่อ กับคุณปลัด ที่แม้จะมีพ่อแม่พร้อมหน้า หากหยกได้รู้ความจริงว่าภายใต้รอยยิ้มนั้น มีแต่การปั้นหน้าใส่กัน หยกจึงเข้าใจว่า แท้จริงแล้วการที่เขามีก๋งคอยให้ความรักกับเขาอย่างแท้จริงต่งหากที่ทำให้เขาเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แล้วชุมชนห้องแถวที่ก๋งและหยกอาศัยอยู่เป็นแหล่งรวมคนจีนมากหน้า เพื่อนบ้านที่สนิทกันอยู่ก็คือ เง็กจู ซึ่งเป็นที่ยึดติดกับธรรมเนียมจีนอย่างเหนียวแน่น และไม่ค่อยยอมรับความเปลี่ยนแปลง เง็กจูมีลูกชายคือ เพ้ง และลูกสาวคือ เกียว หลายครั้งที่เง็กจูมีปัญหากับลูก ก๋งจะเป็นคนคอยแก้ปัญหาให้ทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เกียวแหกประเพณีเดิมของผู้หญิงจีน หนีไปเรียนภาคค่ำ หรือตอนที่เพ้งรับ นวล ภรรยาคนไทยเข้าบ้าน จนเง็กจูขู่จะฆ่าตัวตาย ก๋งเป็นคนชี้ทางสว่างให้เง็กจูเห็นและยอมปรับทัศนคติเพื่ออยู่ร่วมกับลูกหลานในโลกปัจจุบันให้ได้ หรือแม้แต่คนไทยบางคนที่มาเช่าบ้านอยู่ในชุมชนจีนนี้ ก๋งก็เป็นคนจีนคนเดียวที่ยื่นมือให้ความช่วยเหลือ ขณะที่คนจีนคนอื่นๆ ตั้งแง่รังเกียจ ไม่ว่าจะเป็น สมพร หญิงสาวผู้โชคร้ายที่หนีออกมาจากซ่องโสเภณี แฉล้ม และไพศาล คู่ผัวเมียที่ทะเยอทะยานในวัตถุจนตกเป็นทาสการพนัน และหาญ กับจำเรียง หนุ่มสาวที่วิวาห์เหาะมาจากกรุงเทพฯชุมชนห้องแถว พ.ศ.2548 หยก กลับไปเยี่ยมชุมชนห้องแถวอีกครั้ง เขาเพ่งมองภาพถ่ายขาวดำของงานวันแซยิด ในห้องแถวหลังเก่าของตัวเอง เรื่องราวเก่าๆ ยังคงฉายชัดอยู่ในความทรงจำของเขา แม้ว่าวันนี้ชุมชนห้องแถวจะเปลี่ยนแปลงและเจริญขึ้นมากกว่าวันก่อนแล้วก็ตาม หน้าห้องแถวห้องหนึ่ง เด็กชายคนหนึ่งนอนอ่านหนังสือให้อากงของตัวเองฟัง หยกนึกถึงภาพตัวเองกับก๋งในวัยเด็ก และยิ้มออกมาเมื่อเห็นชื่อหนังสือ “อยู่กับก๋ง” บนหน้าปก หยกเหม่อมองท้องฟ้าราวกับจะมองหาก๋ง อยากให้ก๋งได้เห็นว่าวันนี้ เขาได้ทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับก๋งแล้ว

LOGO


นี่ logo ของเราเองสวยมั้ย

link blogเพื่อน

..link blog ของเพื่อนๆ 4/2 ค่ะ..

14 นางสาวชนิกานต์ ศรีนาค
http://BT-chanikarn.blog.mthai.com
15 นางสาวชรินรัตน์ แก้วดวงแสน
http://Lookgadeiize.blogspot.com
16 นางสาวฐานิศา ชายพานิชย์
http://chayengin.blog.mthai.com
17 นางสาวณัฐฑริกา ธนูทอง
http://i-belight.blogspot.com
18 นางสาวณัฐยา วธาวนิชกุล
http://elfsuju-fon18.blog.mthai.com
19 นางสาวธาราทิพย์ บุญแท้
http://tharatip.blog.mthai.com
20 นางสาวเนตรนภิศ แสงอยู่
http://boattweety12.blog.mthai.com
21 นางสาวเบญจมาศ จงดี
http://sapphirebluez.blog.mthai.com
22 นาวสาวปนิดา จันทร์พึ่งสุข
http://babyiiz3112.blog.mthai.com
23 นางสาวปัททมราช แสงพูล
http://tuatan23.blog.mthai.com

link blog เพื่อเลขที่ 13 ห้อง 1 และ3 ค่ะ

13 เด็กหญิงทิพานัน ทิพย์รักษา
http://13thipanan.blogspot.com/

13 นายกษดิศ อยู่ภู่
http://blog.hunsa.com/gamekadid

การ์ตูนโปรด

=======> ฮิโซกะ
==========>คิรัวร์







เอามาให้ดูกัน~!+%







<=== คุราปิก้า










เพลงที่เราชอบ

แปลดีๆแล้วเนื้อหาดีมากๆ
เนื้อเพลง: What I've Done
ศิลปิน: Linkin Park
อัลบั้ม: Minutes To MidnightIn this farewell, There is no blood
There is no alibi
Cause I've drawn regret
From the truth
Of a thousands lies
So let mercy come and wash away

What I've Done
I'll face myself
To cross out what I've become
Erase myself
and let go of what I've done

Put to rest, What you thought of me
Well, I clean this slate
With the hands, Of uncertainty
So let mercy come, And Wash away

What I've Done
I'll face myself
Tto cross what I've become
Erase myself
And let go of what I've done

For what I've done
I start again
And whatever pain may come
Today this ends
I'm forgiving what I've done

I'll face myself
To cross out
what I've becomeErase
myselfAnd let go of
what I've done
(Na,Na,Na)
What I've DoneWhat I've Done
Forgetting what I've done

เกออร์ก คันทอร์ สุดยอดนักคณิตศาสตร์


เกออร์ก แฟร์ดินันด์ ลุดวิก ฟิลิพพ์ คันทอร์ (3 มีนาคม ค.ศ. 1845 เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก รัสเซีย6 มกราคม ค.ศ. 1918 บิดาของ George Cantor ชื่อว่า George Waldemar Cantor เป็นพ่อค้าชาวเดนมาร์ก มารดาของ George ชื่อว่า Maria Anna Bohm แม่เป็นชาวรัสเซีย ฮัลเลอ เยอรมนี) เป็นนักคณิตศาสตร์ เกิดในประเทศรัสเซีย แต่ใช้ชีวิตอยู่ในเยอรมนี มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในนามของผู้บัญญัติทฤษฎีเซตยุคใหม่ โดยได้ขยายขอบเขตของทฤษฎีเซตให้ครอบคลุมแนวคิดของจำนวนเชิงอนันต์ (transfinite or infinite numbers) ทั้งจำนวนเชิงการนับและจำนวนเชิงอันดับที่ นอกจากนี้ คันทอร์ยังเป็นที่รู้จักจากผลงานในเรื่อง การแทนฟังก์ชันด้วยอนุกรมตรีโกณมิติ ที่เป็นเอกลักษณ์ (unique representation of functions by means of trigonometric series) ซึ่งเป็นภาคขยายของอนุกรมฟูริเยร์ท่านเสียชีวิตเมื่อ 6 มกราคม 2461 ที่ประเทศเยอรมนีนี รวมอายุได้ 73 ปี

วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2551

want!!!


อ๊ากกกกกกกกกอยากดั้ยอ่า แล้วต้องได้ด้วย


มันก้อคือ


.


.


.


ชุด หัวขโมยแห่งบารามอส Bigbook Limited Edition


ส่วนราคา 2500 ย้ำ 2500 ศูนย์ 2 ตัวนะเคอะแพงหูดับเลย

หนังสือขนาด 26 x 38.5 cm /กล่องขนาด 37.5 x 51.2 cm ภายในมีการแก้ไขใหม่ ประกอบด้วยรูป 4 สีและเนื้อหาแก้ไขคำผิดใหม่ทั้งหมดค่ะ

แต่ยังงัยก้อต้องเอามาให้ได้ FIGHTING!!!


.


.


.

วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2551

น่าร๊ากกกกกกกกกพี่ชายเรา





ชื่อจริง Jin Akanishi

ชื่อเล่น Hitoshi, Akanishikun

วัน/เดือน/ปีเกิด 4 กรกฏาคม 1984

สถานที่เกิด Tokyo, Japan

ราศี ราศีกรกฏ ปีเกิด ปีชวด

น้ำหนัก 58 kg.

ส่วนสูง 176 cm.

ขนาดเท้า 26.5 cm.

กรุ๊ปเลือด O

ครอบครัว คุณพ่อ คุณแม่ และน้องชาย 1 คน

เพื่อนสนิท Tomohisa Yamashita, Toma Ikuta

ความสามารถพิเศษ ร้องเพลง, เล่นฟุตบอล

สัตว์ที่ชื่นชอบ สิงโต

ส่วนในร่างกายที่ชื่นชอบ ผม

สีที่ชื่นชอบ สีดำ, แดง, ขาว, ฟ้า, เงิน

อาหารที่ชื่นชอบ อาหารฟาสฟู้ด, เนื้อย่าง, ปลา, แตงโม

สัตว์เลี้ยง สุนัข ชื่อว่า Ten & Maru

สิ่งที่ชื่นชอบ บทเพลง, การเต้นรำ, กลอง

คำพูดฮิตติดปาก Go!

กีฬาที่ชื่นชอบ โบว์ลิ่ง, ฟุตบอล

ฤดูกาลที่ชื่นชอบ ฤดูใบไม้ผลิ

บุคคลใน Johnny's ที่ชื่นชอบ Kazunari Ninomiya, Masaki Aiba

เครื่องดนตรีที่ชื่นชอบ กลอง, กีต้าร์, คีย์บอร์ด

สเป็คสาว สดใส น่าสนใจ มีน้ำใจ ส่วนอายุไม่สำคัญเลย

สิ่งที่ไม่ชอบ ผี, สัตว์ประหลาด,การที่ต้องอยู่คนเดียว เข้า Johnny's เมื่อ พฤศจิกายน 1988

เรื่องดีๆมีสาระ

เอามาฝากอ่านะลองทำกันดู
การเคลื่อนที่แนวราบ

ชายคนหนึ่งวิ่งจากจุด A ไปจุด B ในเวลาทั้งสิ้น 30 วินาที ถ้าในการวิ่งมีความเร่ง1 m/s2 และเริ่มต้นวิ่งความเร็ว 1 m/s จงหาระยะทางและความเร็วปลายระหว่าง A กับ B

วิธีทำ
หาระยะทางจากสูตร s = ut+½at2

= 1×30+½×1×302

= 480 m

หาความเร็วปลายจากสูตร v=u+at

=1 +1×30 m/s

= 31 m/s

.·. ระยะทางระหว่าง A ไป B เท่ากับ 480 เมตร
ความเร็วปลายจาก A ไป B เท่ากับ 31 เมตร/วินาที ans

วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2551

กีฬาสี บ.ม.

สวัสดีคร้าท่านเพื่อนทุกท่าน อะแฮ่ม ..เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พูดคุยในวันนี้

เป็นยังงัยกันมั่งกับกีฬาสีที่เพิ่งผ่านไป ขอสารภาพว่านอกจากวันศุกร์แล้ว ข้าพเจ้าคนนี้ก้อไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมหรือทำอะไรให้เป็นประโยชน์เลยนอกจากการตระเวณเก็บภาพถ่ายตามที่ต่างๆที่คงจะพอมีประโยชน์สามารถใช้งานได้บ้าง ที่เหลือก้อหาที่ร่มๆเย็นเย็นไว้อ่านการ์ตูนอยางแข็งขัน แล้วท่านเพื่อนเล่าทำอะไรกันมาบ้างเข้ามาเล่าสู่กันให้ฟังบ้างดิ การเดินพาเรดครั้งนี้ทำให้เรารู้ซึ้งว่างานกรรมกรเป็นยังงัย ไม่อยากจะเอ่ยว่าสุดยอดแห่งความเมื่อยเลยล่ะ นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายและครั้งเดียวในชีวิตที่จะมาแบกหามอย่างงี้...ช่วยกันเม้นท์หน่อยและกันน้า

.... %$*_+_-@~)_++...

วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2551

My new blogggg

สวัสดีคร้า...เราต้องสมัครบล็อกใหม่เพราะว่าอะไรน่ะหรอ คำตอบก้อคือเพราะความซวยส่วนตัวไม่มีใครสามารถลอกเลียนแบบได้น่ะซิ ฮิฮิ เพื่อนที่ใช่บล็อกเดียวกะเราเลยพลอยซวยไปด้วยเลยต้องระเห็ดระเหออกจากblog2hitแต่เชื่อเถอะว่าหลงจากเราสมัครบล็อกนี้อีกไม่นานบล็อก2ฮิตก้อจะกลับมาใช้ได้เหมือนเดิมขอฟันธงเลยเอ้า!! <ก้อบอกแล้วว่าความซวยส่วนตัว>พันนี้แหละชีวิตเรา พระเจ้าช่างชอบกลั่นแกล้งเราเสียนนี่กะไร แต่ก้อช่วยเม้นกับด้วยก้อแล้วกันนะ ถือว่าสงสารแพนด้าน้อยขอบตาดำๆก้อแล้วกัน แต้งกิ้ววน้อ